เมนู

ดูก่อนคฤหบดี อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เท่าที่น้อมใจแผ่ไปตลอด
ปฐพีมีสมุทรเป็นขอบเขตว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ นี้ก็เรียกว่า เจโตวิมุตติ
ที่เป็นมหัคคตะ.
ดูก่อนคฤหบดี โดยปริยายนี้แล ท่านพึงทราบประการที่ธรรม 2
ข้อนี้ ต่างกันทั้งอรรถและพยัญชนะ.

ว่าด้วยการเข้าถึงภพ 4 อย่าง


[424] ดูก่อนคฤหบดี การเข้าถึงภพนี้มี อย่างแล 4 อย่างเป็น
ไฉน ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ น้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มี
แสงสว่างเล็กน้อยอยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดา
พวกมีรัศมีเล็กน้อย แต่บางรูปน้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างหาประมาณ
มิได้อยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีหา
ประมาณนี้ได้ บางรูปน้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างเศร้าหมองอยู่ เธอตาย
ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีเศร้าหมอง แต่บางรูป
น้อมใจแผ่ไปสู่อารมณ์มีแสงสว่างบริสุทธิ์อยู่ เธอตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความ
เป็นสหายของเทวดาพวกมีรัศมีบริสุทธิ์ ดูก่อนคฤหบดี นี้แล การเข้าถึงภพ
4 อย่าง.
[425] ดูก่อนคฤหบดี มีสมัยที่พวกเทวดาประชุมร่วมกัน เทวดา
เหล่านั้น ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีรัศมีต่างกัน ดูก่อนคฤหบดี
เปรียบเหมือนบุรุษตามประทีปน้ำมัน มากดวง เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่ง ประทีป
น้ำมันเหล่านั้นปรากฏมีเปลวต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีแสงสว่างต่างกัน ฉันใด
ดูก่อนคฤหบดี ฉันนั้นเหมือนกันแล มีสมัยที่พวกเทวดาประชุมร่วมกัน เทวดา
เหล่านั้น ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน แต่ไม่ปรากฏมีรัศมีต่างกัน.

[426] ดูก่อนคฤหบดี มีสมัยที่พวกเทวดาแยกกันจากที่ประชุม
เทวดาเหล่านั้น ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน และมีรัศมีต่างกัน ดูก่อนคฤหบดี
เปรียบเหมือนบุรุษนำประทีปน้ำมันมากดวงออกจากเรือนหลังนั้น ประทีปน้ำ
มันเหล่านั้นปรากฏมีเปลวต่างกัน และมีแสงสว่างต่างกัน ฉันใด ดูก่อนคฤหบดี
ฉันนั้น เหมือนกันแล มีสมัยที่พวกเทวดาแยกกันจากที่ประชุม เทวดาเหล่านั้น
ย่อมปรากฏมีสีกายต่างกัน และมีรัศมีต่างกัน.
[427] ดูก่อนคฤหบดี เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่มีความดำริอย่างนี้ เลย
ว่าสิ่งนี้ของพวกเราเพียง หรือยั่งยืน หรือแน่นอน แต่ว่าเทวดาเหล่านั้นย่อม
อภิรมย์เฉพาะแดนที่ตนอยู่อาศัยนั้น ๆ ดูก่อนคฤหบดี เปรียบเหมือนแมลงที่
เขานำไปด้วยหาบหรือตะกร้า ย่อมไม่มีความดำริอย่างนี้ว่า หาบหรือตะกร้านี้ของ
พวกเราเที่ยง หรือยั่งยืน หรือแน่นอน แต่ว่าแมลงเหล่านั้น ย่อมอภิรมย์
เฉพาะแหล่งที่ตนอยู่อาศัยนั้น ๆ ฉันใด ดูก่อนคฤหบดี ฉันนั้นเหมือนกันแล
เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่มีความดำริอย่างนี้เลยว่า สิ่งนี้ ของพวกเราเที่ยง หรือยั่ง
ยืน หรือแน่นอน แต่ว่าเทวดาเหล่านั้น ย่อมอภิรมย์เฉพาะแดนที่คนอยู่อาศัย
นั้น ๆ.
[428] เมื่อท่านพระอนุรุทธะกล่าวแล้วอย่างนี้ ท่านพระอภิยะ
กัจจานะได้กล่าวกะท่านพระอนุรุทธะดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะผู้เจริญ
ที่ท่านพยากรณ์นั้นดีละ. แต่ในเรื่องนี้มีข้อที่กระผมจะพึงสอบถามให้ยิ่งขึ้นไป
คือพวกเทวดาที่มีรัศมีนั้นทั้งหมด เป็นผู้มีรัศมีเล็กน้อยหรือ หรือว่ามีบางพวก
ในพวกนั้นมีรัศมีหาประมาณมิได้.
อ. ดูก่อนท่านกัจจานะ โดยหลักแห่งการอุปบัตินั้นแล เทวดาใน
พวกนี้บางพวกมีรัศมีเล็กน้อย แค้บางพวกมีรัศมีหาประมาณมิได้.

อภิยะ. ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็น
ปัจจัยให้บรรดาเทวดาที่เข้าถึงหมู่เทวดาหมู่เดียวกันแล้วเหล่านั้น บางพวกมี
รัศมีเล็กน้อย แต่บางพวกมีรัศมีหาประมาณมิได้.

ว่าด้วยการพยากรณ์เทวดา


[429] อ. ดูก่อนท่านกัจจานะ ถ้าอย่างนั้น เราจะย้อนถามท่านใน
เรื่องนี้ ท่านพอใจอย่างไร พึงพยากรณ์อย่างนั้น ดูก่อนท่านกัจจานะ ท่าน
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่โคนไม้แห่งหนึ่งว่า เป็น
แดนมหัคคตะอยู่. กับภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่โคนไม้สองแห่งหรือสามแห่งว่า
เป็นแดนมหัคคตะอยู่ บรรดาจิตตภาวนาของภิกษุทั้งสองรูปนี้ จิตตภาวนา
อย่างไหนเป็นมหัคคตะยิ่งกว่ากัน.
อภิยะ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บรรดาจิตตภาวนาของภิกษุทั้งสองรูปนี้
จิตตภาวนาของภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่โคนไม้สองแห่งหรือสามแห่งว่า เป็น
แดนมหัคคตะอยู่ นี้เป็นมหัคคตะยิ่ง.
[430] อ. ดูก่อนท่านกัจจานะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่โคนไม้สองแห่งหรือสามแห่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่
กับภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่เขตบ้านแห่งหนึ่งว่า เป็นแดนมหัคคตะอยู่ บรรดา
จิตตภาวนาของภิกษุทั้งสองรูปนี้ จิตตภาวนาอย่างไหน เป็นมหัคคตะยิ่งกว่า
กัน.
อภิยะ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บรรดาจิตตภาวนาของภิกษุทั้งสองรูปนี้
จิตตภาวหาของภิกษุรูปที่น้อมใจแผ่ไปสู่เขตบ้านแห่งหนึ่งว่า เป็นแดนมหัคคตะ
อยู่ นี้เป็นมหัคคตะยิ่ง.